ระบบ WMS แบบ Cloud VS On-Premise เลือกให้เหมาะกับธุรกิจ SME
การจัดการคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด คือหนึ่งในหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่มีข้อจำกัดในด้านพื้นที่ ทรัพยากร และเงินทุน “ระบบ WMS” หรือ Warehouse Management System จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการและควบคุมการดำเนินงานภายในคลังสินค้าให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบ WMS แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก คือแบบ Cloud และ On-Premise ซึ่ง Cnetthailand บริษัทที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในระบบ WMSแบบครบวงจร จะมาเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนว่า ระหว่าง “ระบบ WMS” แบบ Cloud และ On-Premise ต่างกันอย่างไร และธุรกิจของคุณเหมาะกับแบบไหนมากกว่ากัน
- ระบบ WMS กุญแจสำคัญสู่คลังสินค้าอัจฉริยะ
- ยกระดับธุรกิจ E-commerce ด้วยระบบ WMS อัจฉริยะ
- ระบบ WMS ต่างจาก ERP อย่างไร? เลือกให้เหมาะกับธุรกิจ
ระบบ WMS คืออะไร? ทำไมธุรกิจ SME ถึงต้องมี?
ระบบ WMS (Warehouse Management System) คือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่างๆ ภายในคลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การรับสินค้า การจัดเก็บ การหยิบสินค้า การบรรจุหีบห่อ ไปจนถึงการจัดส่งสินค้า โปรแกรมระบบคลังสินค้า WMS จะช่วยให้คุณสามารถ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดความผิดพลาดในการหยิบและจัดส่งสินค้า ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
- ลดต้นทุน ควบคุมปริมาณสินค้าคงคลังได้อย่างเหมาะสม ลดปัญหาการสูญเสียสินค้า และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
- ปรับปรุงความถูกต้องของข้อมูล มีข้อมูลสินค้าคงคลังที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ทำให้สามารถวางแผนการผลิตและการจัดซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า จัดส่งสินค้าได้ตรงเวลาและถูกต้อง สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
- รองรับการเติบโตของธุรกิจ ระบบ WMS ที่ดีสามารถปรับขนาดตามการเติบโตของธุรกิจคุณได้อย่างราบรื่น

ทำความรู้จัก ระบบ WMS แบบ Cloud (Cloud-Based WMS)
ระบบ WMS แบบ Cloud คือ ระบบจัดการคลังสินค้าที่โฮสต์อยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ (Vendor) ผ่านอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงระบบได้จากทุกที่ ทุกเวลา ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแอปพลิเคชัน โดยชำระค่าบริการเป็นรายเดือนหรือรายปี (Subscription-based) เหมือนการเช่าใช้ซอฟต์แวร์ (SaaS – Software as a Service)
ข้อดีของระบบ WMS แบบ Cloud
- ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ (Lower Upfront Cost) ไม่ต้องลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์ หรือจ้างบุคลากร IT มาดูแลระบบโดยเฉพาะ จ่ายเฉพาะค่าบริการรายเดือน/ปี ทำให้ง่ายต่อการเริ่มต้น โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่มีงบประมาณจำกัด
- ติดตั้งและเริ่มใช้งานได้รวดเร็ว (Faster Implementation) ผู้ให้บริการเป็นผู้ดูแลโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด ทำให้กระบวนการติดตั้งซอฟต์แวร์รวดเร็วกว่ามาก
- ความยืดหยุ่นและปรับขนาดง่าย (Scalability & Flexibility) สามารถเพิ่มหรือลดจำนวนผู้ใช้งาน หรือปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้ตามความต้องการของธุรกิจที่เติบโตหรือเปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ต้องลงทุนฮาร์ดแวร์เพิ่ม
- เข้าถึงได้จากทุกที่ (Accessibility) เพียงมีอินเทอร์เน็ต ก็สามารถเข้าระบบ WMS เพื่อดูข้อมูล บริหารจัดการ หรือตรวจสอบสถานะคลังสินค้าได้จากทุกอุปกรณ์ ทุกที่ ทุกเวลา
- อัปเดตและบำรุงรักษาอัตโนมัติ (Automatic Updates & Maintenance) ผู้ให้บริการจะเป็นผู้ดูแลเรื่องการอัปเดตซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุด การแก้ไขข้อผิดพลาด (Bugs) และการบำรุงรักษาระบบคลังสินค้า WMS ทำให้ผู้ใช้ได้ใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ และระบบมีความปลอดภัยอยู่เสมอ
- ลดภาระด้าน IT ไม่จำเป็นต้องมีทีม IT ขนาดใหญ่เพื่อมาดูแลเซิร์ฟเวอร์และระบบโดยเฉพาะ
ข้อควรพิจารณาของระบบ WMS แบบ Cloud
- ค่าใช้จ่ายระยะยาว (Long-term Cost) แม้ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ แต่ค่าบริการรายเดือน/ปีที่ต้องจ่ายต่อเนื่อง อาจสูงกว่าแบบ On-Premise ในระยะยาว
- ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet Dependency) การใช้งานระบบ WMS ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หากอินเทอร์เน็ตมีปัญหา อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน
- ข้อจำกัดในการปรับแต่ง (Customization Limits) การปรับแต่งระบบคลังสินค้าอัจฉริยะ WMS อาจมีข้อจำกัดมากกว่าแบบ On-Premise เนื่องจากเป็นการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกับผู้ใช้งานรายอื่น
- ความกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security Concerns) แม้ผู้ให้บริการ Cloud ชั้นนำจะมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง แต่ข้อมูลจะถูกจัดเก็บอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ภายนอกองค์กร ซึ่งอาจเป็นประเด็นที่บางธุรกิจให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

ทำความรู้จัก ระบบ WMS แบบ On-Premise
ระบบ WMS แบบ On-Premise คือ ระบบจัดการคลังสินค้าที่ติดตั้งและทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์และโครงสร้างพื้นฐาน IT ขององค์กรเอง ผู้ใช้งานเข้าถึงระบบผ่านเครือข่ายภายใน (Local Network) การลงทุนในระบบ WMS ประเภทนี้มักเป็นการซื้อลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์แบบครั้งเดียว (One-time License Fee) และองค์กรต้องรับผิดชอบในการดูแล บำรุงรักษา และอัปเกรดระบบเองทั้งหมด
ข้อดีของระบบ WMS แบบ On-Premise
- ควบคุมระบบและข้อมูลได้เต็มที่ (Full Control) องค์กรสามารถควบคุมการทำงานของระบบ การปรับแต่ง และข้อมูลทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากทุกอย่างอยู่ภายในองค์กร
- ความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security) เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีนโยบายความปลอดภัยเข้มงวด หรือข้อกำหนดทางกฎหมายที่บังคับให้ต้องเก็บข้อมูลไว้ภายในองค์กรเท่านั้น
- ปรับแต่งได้สูง (High Customization) สามารถปรับแต่งระบบจัดการคลังสินค้า WMS ให้เข้ากับกระบวนการทำงานเฉพาะของธุรกิจได้อย่างอิสระมากกว่าแบบ Cloud
- ไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตในการทำงานหลัก (Less Internet Dependency) การทำงานหลักภายในคลังสินค้าสามารถดำเนินต่อไปได้ แม้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตภายนอกจะมีปัญหา (แต่การเชื่อมต่อกับระบบอื่นนอกองค์กรยังคงต้องใช้อินเทอร์เน็ต)
- ต้นทุนรวมระยะยาวอาจต่ำกว่า (Potentially Lower TCO) หากใช้งานเป็นระยะเวลานาน การลงทุนซื้อลิขสิทธิ์ครั้งเดียวอาจคุ้มค่ากว่าการจ่ายค่าบริการรายเดือน/ปีต่อเนื่อง
ข้อควรพิจารณาของระบบ WMS แบบ On-Premise
- ต้นทุนเริ่มต้นสูง (High Upfront Cost) ต้องลงทุนซื้อลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ (เซิร์ฟเวอร์, อุปกรณ์เครือข่าย) และอาจต้องจ้างบุคลากร IT เพิ่มเติม
- ใช้เวลาในการติดตั้งนานกว่า (Longer Implementation Time) กระบวนการติดตั้งและตั้งค่าระบบ WMS มีความซับซ้อนและใช้เวลานานกว่า
- ต้องการทรัพยากร IT ภายใน (Requires Internal IT Resources) องค์กรต้องมีทีม IT ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแล บำรุงรักษา แก้ไขปัญหา และอัปเกรดระบบคลังสินค้า WMS
- การปรับขนาดทำได้ยากกว่า (Less Scalable) หากธุรกิจเติบโตและต้องการเพิ่มประสิทธิภาพหรือจำนวนผู้ใช้งาน อาจต้องลงทุนอัปเกรดฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม ซึ่งซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง
- การอัปเดตและบำรุงรักษาเป็นภาระขององค์กร องค์กรต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและดำเนินการอัปเดตซอฟต์แวร์เอง ซึ่งอาจล่าช้ากว่าแบบ Cloud

ตารางเปรียบเทียบระหว่างระบบ WMS แบบ Cloud และ On-Premise
คุณสมบัติ | ระบบ WMS แบบ Cloud | ระบบ WMS แบบ On-Premise |
การติดตั้ง | ติดตั้งและใช้งานได้รวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องมีฮาร์ดแวร์หรือโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม | ต้องติดตั้งบนเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทเอง ต้องมีการลงทุนในฮาร์ดแวร์และโครงสร้างพื้นฐาน |
ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น | โดยทั่วไปจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ต่ำกว่า มักคิดค่าบริการเป็นรายเดือนหรือรายปีตามจำนวนผู้ใช้งานหรือปริมาณการใช้งาน | มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูงกว่า เนื่องจากต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และค่าติดตั้ง |
การบำรุงรักษา | ผู้ให้บริการเป็นผู้ดูแลระบบทั้งหมด รวมถึงการอัปเดตซอฟต์แวร์ การสำรองข้อมูล และการแก้ไขปัญหาทางเทคนิค | บริษัทต้องรับผิดชอบในการบำรุงรักษาทั้งหมด รวมถึงการอัปเดตซอฟต์แวร์ การสำรองข้อมูล และการแก้ไขปัญหาทางเทคนิค ซึ่งอาจต้องมีทีมไอทีภายในองค์กร |
ความยืดหยุ่นในการปรับขนาด | สามารถปรับเพิ่มหรือลดขนาดการใช้งานได้ง่ายตามความต้องการของธุรกิจ | การปรับขนาดอาจมีความซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เนื่องจากอาจต้องมีการอัปเกรดฮาร์ดแวร์หรือซื้อไลเซนส์เพิ่มเติม |
ความปลอดภัย | ผู้ให้บริการที่มีความน่าเชื่อถือจะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด รวมถึงการเข้ารหัสข้อมูลและการป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต | บริษัทสามารถควบคุมความปลอดภัยของข้อมูลได้เอง แต่ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและมีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ |
การเข้าถึงข้อมูล | สามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานที่อยู่ต่างสถานที่ทำได้ง่าย | โดยทั่วไปจะเข้าถึงข้อมูลได้เฉพาะภายในเครือข่ายของบริษัทเท่านั้น การเข้าถึงจากภายนอกอาจต้องมีการตั้งค่าเพิ่มเติม |
การอัปเดตซอฟต์แวร์ | ผู้ให้บริการจะทำการอัปเดตซอฟต์แวร์โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ และการปรับปรุงต่างๆ ได้ทันที | บริษัทต้องทำการอัปเดตซอฟต์แวร์เอง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากร |
ธุรกิจของคุณเหมาะกับระบบ WMS แบบไหน?
เลือกระบบ WMS แบบ Cloud
- งบประมาณเริ่มต้นมีจำกัด ระบบ WMS แบบ Cloud มักมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ต่ำกว่า ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจ SME ที่เพิ่งเริ่มต้นหรือมีงบประมาณจำกัด
- ต้องการความรวดเร็วในการติดตั้งและใช้งาน ระบบ WMS แบบ Cloud สามารถติดตั้งและใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาในการติดตั้งฮาร์ดแวร์และโครงสร้างพื้นฐาน
- ไม่มีทีมไอทีภายในองค์กร ผู้ให้บริการจะดูแลเรื่องการบำรุงรักษาและการอัปเดตโปรแกรมระบบคลังสินค้า WMS ทั้งหมด ทำให้ธุรกิจไม่ต้องมีภาระในการจัดการด้านเทคนิค
- ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับขนาด หากธุรกิจของคุณมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว หรือมีปริมาณงานที่ผันผวน ระบบ WMS แบบ Cloud สามารถปรับขนาดการใช้งานได้ตามความต้องการ
- ต้องการเข้าถึงข้อมูลจากทุกที่ หากทีมงานของคุณทำงานจากหลายสถานที่ หรือต้องการเข้าถึงข้อมูลคลังสินค้าจากภายนอก ระบบ WMS แบบ Cloud จะตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้ดี
เลือกระบบ WMS แบบ On-Premise
- มีงบประมาณสำหรับการลงทุนเริ่มต้น หากธุรกิจของคุณมีงบประมาณเพียงพอสำหรับการลงทุนในฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
- ต้องการควบคุมระบบอย่างเต็มที่ ระบบ WMS แบบ On-Premise ช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมการทำงานของระบบ ความปลอดภัยของข้อมูล และการปรับแต่งระบบได้อย่างเต็มที่
- มีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของข้อมูลที่เข้มงวด บางธุรกิจอาจมีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของข้อมูลที่เข้มงวด ทำให้ต้องการเก็บข้อมูลไว้ภายในองค์กร
- มีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่แข็งแกร่ง หากธุรกิจของคุณมีทีมไอทีที่มีความเชี่ยวชาญและมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่พร้อมรองรับการใช้งานระบบ WMS แบบ On-Premise
- ต้องการการปรับแต่งระบบที่ซับซ้อน หากธุรกิจของคุณมีกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนและต้องการการปรับแต่งระบบ WMS ในระดับสูง ระบบ On-Premise อาจมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งมากกว่า
Cnetthailand ผู้ช่วยที่คุณไว้วางใจในการเลือกระบบ WMS ที่เหมาะสม
ในฐานะผู้นำด้านระบบจัดการคลังสินค้า WMS ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี และได้รับการยอมรับในระดับสากล Cnetthailand พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยคุณเลือกระบบ WMS ที่เหมาะสมกับขนาด ลักษณะ และความต้องการของธุรกิจของคุณ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Cloud หรือ On-Premise เรามีโซลูชันที่หลากหลายและทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่จะคอยดูแลและสนับสนุนคุณในทุกขั้นตอน
ท่านใดที่กำลังมองหาระบบ WMS ที่ Cnetthailand เราเป็นบริษัทที่ให้บริการระบบจัดการคลังสินค้า WMS เต็มรูปแบบพร้อมอุปกรณ์ที่ทันสมัย โดยระบบคลังสินค้าอัจฉริยะ WMS ของเราสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรมและธุรกิจแต่ละประเภท ด้วยประสบการณ์ด้านระบบ WMS กว่า 30 ปี และมียอดขายระบบคลังสินค้า WMS เป็นอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่นต่อเนื่องกันถึง 11 ปี ให้เรา Cnetthailand ช่วยดูแลระบบคลังสินค้าของคุณนะคะ
สนใจติดต่อ
Tel : 02-821-5464
Line : @cnetthailand
Facebook : c net thailand co ltd